ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคปัจจุบัน เราใช้สายตาจ้องจอกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจอโทรศัพท์ จอคอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ต ซึ่งส่งผลตามมา ทำให้ดวงตาอ่อนล้า ตาแห้ง ระคายเคืองตา ปวดตา นอกจากนั้นแล้ว วิถีชีวิตที่อาศัยอยู่ในห้องแอร์ , การขับรถนานๆ หรือแม้แต่การใช้คอนแทคเลนส์ ก็ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการตาแห้งทั้งสิ้น
อาการของภาวะตาแห้ง และตาล้า ได้แก่
- แสบตา น้ำตาไหล
- ระคายเคืองตาเหมือนมีเศษผงอยู่ในดวงตาตลอดเวลา
- คันตา
- ตาแดง
- ตาพร่ามัวมองเห็นไม่ชัด เห็นภาพซ้อน
- มีอาการปวดเบ้าตา หรือรอบๆดวงตา รู้สึกตาหนัก ดวงตาอ่อนล้า
- ในรายที่อาการหนัก อาจจะมีอาการปวดศีรษะ และคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
สาเหตุของอาการตาแห้ง และตาล้า
- การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป หรือการเพ่งมองระยะใกล้เกินไป ในที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ก็ทำให้ดวงตาอ่อนล้าได้
- อยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน เครื่องปรับอากาศจะลดความชุ่มชื้นในดวงตา รวมถึงอยู่ในลมแรง อากาศแห้ง และความชื้นต่ำ ก็เป็นสาเหตุของอาการตาแห้งเช่นกัน
- ต้องเผชิญกับมลภาวะ ฝุ่น ควัน เป็นประจำ ทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ เช่น ทำงานในศาลเจ้า ที่ต้องเจอควันธูปตลอดเวลา
- โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น ภูมิแพ้, พาร์กินสัน, เบาหวาน หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
- การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาแก้แพ้, ยาต้านซึมเศร้า, ยาลดความดันโลหิตบางชนิด
- ภาวะต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน (Meibomian Gland Dysfunction: MGD) เกิดจากต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาทำงานผิดปกติ ทำให้ไขมันถูกกักเก็บ ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา เปลือกตาแดง บวม มีตุ่มเล็กๆ หรือขนตาร่วงได้
- ความเครียด และเหนื่อยล้า ส่งผลให้เกิดอาการเกร็งบริเวณส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะ รวมถึงคอ บ่า ไหล่
- การขับรถทางไกล ทำให้ร่างกายต้องเพ่งสายตา จดจ่อเป็นเวลานาน
- ดื่มน้ำน้อย ทำให้ร่างกายขาดสมดุลระหว่างน้ำกับเกลือแร่ ต่อมน้ำตาสร้างน้ำตาได้น้อยลง โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่อากาศร้อน
- ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป และความเสื่อมของร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะสร้างน้ำตาได้น้อยลง โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
- การใส่คอนแทคเลนส์เป็นระยะเวลานาน

วิธีป้องกันและดูแลดวงตา
- หมั่นพักสายตาเป็นระยะ โดยใช้กฎ 20-20-20
โดยมีเทคนิคให้พักสายตาจากหน้าจอทุก 20 นาที ด้วยการมองออกไปที่ระยะ 20 ฟุต (หรือไกลกว่านั้น) เป็นเวลาประมาณ 20 วินาที เพื่อเป็นช่วยให้สายตาได้ผ่อนคลาย - ปรับแสงสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ให้แสงจ้ามากเกินไป
ซึ่งจะต้องคำนึงถึงความสว่างภายในห้องทำงานเป็นปัจจัยสำคัญ อย่าให้ความสำคัญกับแสงหน้าจอเพียงอย่างเดียว เพราะการปรับแสงหน้าจอให้พอดีกับสายตาต้องใช้อาศัยความสว่างแวดล้อม - ควรนั่งให้มีระยะห่างจากจอคอมพิวเตอร์กับดวงตา
จัดท่าทางการนั่งทำงานให้มีระยะห่างของจอกับดวงตาประมาณ 40-50 ซม. และควรให้จุดกึ่งกลางของหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ต่ำกว่าระดับสายตา ซึ่งการจัดระยะห่างในการนั่งทำงานจะทำให้ไม่ต้องใช้สายตาเพ่งมากจนเกินไป - พยายามกะพริบตาบ่อย ๆ
ในขณะที่เราใช้สายตาไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือใช้สมาร์ทโฟน การกะพริบตาบ่อยๆ จะเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ป้องกันตาแห้งและอาการระคายเคือง - ใส่แว่นตากรองแสงคอมพิวเตอร์
การสวมแว่นตาที่มีเลนส์พิเศษ ซึ่งสามารถช่วยกรองแสงสีฟ้า ช่วยลดแสงเข้าดวงตา ทำให้รู้สึกสบายตายิ่งขึ้น - สวมแว่นกันแดดเพื่อกันแสง UV
รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มีผลทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการตาแห้ง ตาล้า และจอประสาทตาเสื่อม จึงควรสวมแว่นกันแดดขณะขับรถ หรือเมื่ออยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับดวงตา
วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน โอเมก้า-3 ธาตุสังกะสี และธาตุทองแดง ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อดวงตา ซึ่งพบมากในอาหารประเภทผักใบเขียวต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า , ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น โกจิเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ไข่ แครอท ฟักทอง อะโวคาโด ถั่วอัลมอนด์ และปลาทะเลน้ำลึก - ดื่มน้ำสะอาดในเพียงพอต่อวัน
เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ ลดอาการปากแห้ง คอแห้ง และตาแห้ง - หยอดน้ำตาเทียมเพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น
น้ำตาเทียมนั้นมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาเทียมแบบรายวัน น้ำตาเทียมแบบรายเดือน หรือน้ำตาเทียมแบบเจล ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เพื่อเลือกน้ำตาเทียมที่เหมาะสมกับตัวเอง - ประคบอุ่นบริเวณรอบดวงตา
หากมีภาวะต่อมไขมันอุดตันที่เปลือกตา สามารถประคบอุ่นวันละ 10-15 นาที เพื่อละลายไขมันที่อุดตันบริเวณเปลือกตาได้

หากมีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม สามารถแอดไลน์ @tlepharmacy หรือ คลิ๊ก