พ่อแม่หลายคนคงเคยเจอปัญหา “ลูกป่วยบ่อย” โดยเฉพาะช่วงอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวไอ เดี๋ยวเป็นหวัด จนต้องหยุดเรียนบ่อยๆ สร้างความกังวลให้กับผู้ปกครอง ซึ่งจริงๆแล้ว สาเหตุเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ในเด็กเล็กอายุ 6 เดือนถึง 6 ขวบ และการที่ลูกต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค เช่น การเข้าเรียนในโรงเรียน หรือการเล่นกับเพื่อนที่กำลังป่วยอยู่ก็ซึ่งส่งผลให้ลูกติดโรค หรือเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น
สาเหตุหลักๆ ที่ลูกน้อยป่วย มักมาจาก
– การเริ่มเข้าสังคม เช่น ไปโรงเรียน ทำให้เจอเชื้อโรคใหม่ๆ
– พฤติกรรมเด็กเล็กที่ชอบหยิบของเข้าปาก สัมผัสสิ่งของร่วมกับเพื่อน
– สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดู
– การนอนไม่เพียงพอ ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
– การได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
วิตามินและแร่ธาตุเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเด็ก หากเด็กมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจทำให้ป่วยบ่อย ติดเชื้อง่าย หรือฟื้นตัวช้ากว่าปกติ สังเกตอาการเหล่านี้เพื่อดูว่าเด็กอาจต้องการเสริมวิตามินหรือไม่
ตารางที่ 1

1. วิตามินซี (Vitamin C)
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ มีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะในเด็กที่ยังมีระบบภูมิคุ้มกันที่กำลังพัฒนา วิตามินซียังช่วยป้องกันการติดเชื้อ และเสริมการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประโยชน์ของวิตามิน C สำหรับเด็ก
– กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว วิตามินซีช่วยให้เม็ดเลือดขาวในเด็กทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคและไวรัสที่อาจก่อให้เกิดโรค
– ลดโอกาสป่วยบ่อย เด็กที่ได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอมีแนวโน้มป่วยน้อยลง โดยเฉพาะโรคหวัดและการติดเชื้อทางเดินหายใจ
– ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการผลิตคอลลาเจน ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และช่วยให้เนื้อเยื่อแข็งแรง
– เสริมสุขภาพเหงือกและฟัน ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง ลดปัญหาเลือดออกตามไรฟัน
– ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังในเด็ก ปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ช่วยให้เด็กเติบโตแข็งแรง
แหล่งอาหารที่มีวิตามิน C สูง
: ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง กีวี มะขามป้อม และสตรอว์เบอร์รี
: ผักใบเขียวและพริกหวาน เช่น บรอกโคลี ผักคะน้า และพริกหวาน
: อาหารเสริม หากได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอจากอาหาร อาจเลือกเสริมในรูปแบบอาหารเสริมเด็กได้
ปริมาณวิตามิน C ที่แนะนำต่อวันสำหรับเด็ก
เด็กอายุ 1-3 ปี 15-25 มิลลิกรัม/วัน
เด็กอายุ 4-8 ปี 25-40 มิลลิกรัม/วัน
เด็กอายุ 9-18 ปี 60-100 มิลลิกรัม/วัน

2. วิตามินดี3 (Vitamin D3)
วิตามิน D3 (Cholecalciferol) เป็นสารอาหารสำคัญที่มีบทบาทหลากหลายในการส่งเสริมสุขภาพของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของวิตามิน D3 สำหรับเด็ก
– เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามิน D3 ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เพิ่มความสามารถในการป้องกันและกำจัดเชื้อโรค ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
– ส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส วิตามิน D3 ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ได้ดีขึ้น ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
– ป้องกันโรคกระดูกอ่อน การได้รับวิตามิน D3 เพียงพอช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกอ่อนในเด็ก ซึ่งอาจทำให้กระดูกอ่อนแอและผิดรูป
แหล่งที่มาของวิตามิน D3
: แสงแดด ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามิน D3 ได้เมื่อผิวหนังได้รับรังสี UVB จากแสงแดด แนะนำให้เด็กๆ ได้รับแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าหรือเย็นประมาณ 15 นาทีต่อวัน โดยสวมเสื้อผ้าที่เผยผิวบางส่วน
: การเสริมวิตามิน หากเด็กได้รับวิตามิน D3 ไม่เพียงพอจากอาหารและแสงแดด อาจเสริมด้วย
: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็กได้ แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน

3. วิตามินเอ (Vitamin A)
วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็ก มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา และส่งเสริมการเจริญเติบโต ช่วยรักษาสุขภาพของผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ ป้องกันการติดเชื้อ และช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น
ประโยชน์ของวิตามินเอสำหรับเด็ก
– เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและป้องกันการติดเชื้อต่างๆ
– บำรุงสายตา มีบทบาทสำคัญต่อการมองเห็น โดยเฉพาะในที่แสงน้อย
– ส่งเสริมการเจริญเติบโต ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง สนับสนุนพัฒนาการของร่างกาย
– รักษาสุขภาพของผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ ช่วยให้ผิวและเนื้อเยื่อชุ่มชื้นและแข็งแรง
แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอสูง
: ตับสัตว์ เช่น ตับหมู ตับไก่ ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินเอที่เข้มข้น
: ไข่แดง อุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
: นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมสด ชีส ที่มีวิตามินเอตามธรรมชาติ
: ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักโขม และบรอกโคลี
: ผักและผลไม้สีส้มเหลือง เช่น แครอท ฟักทอง มะม่วงสุก ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนซึ่งร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้
ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวันสำหรับเด็ก
ทารกอายุ 6-11 เดือน 250 ไมโครกรัม/วัน
เด็กอายุ 1-3 ปี 300 ไมโครกรัม/วัน
เด็กอายุ 4-5 ปี 350 ไมโครกรัม/วัน

4.เอลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry)
เอลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry) เป็นผลไม้ขนาดเล็กสีม่วงเข้มที่มีประวัติการใช้ในทางการแพทย์พื้นบ้านมายาวนาน โดยเฉพาะในการบรรเทาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่ ผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่
– เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน สารแอนโทไซยานินในเอลเดอร์เบอร์รี่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการผลิตไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ช่วยในการสื่อสารระหว่างเซลล์ภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถตอบสนองต่อการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– ต้านไวรัส มีงานวิจัยที่ชี้ว่าเอลเดอร์เบอร์รี่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส โดยเฉพาะไวรัสไข้หวัดใหญ่ สารสกัดจากเอลเดอร์เบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกาะติดของไวรัสกับเซลล์ในร่างกาย ทำให้ไวรัสไม่สามารถแพร่กระจายได้
– ลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการหวัด การบริโภคเอลเดอร์เบอร์รี่ในช่วงเริ่มต้นของการเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่อาจช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการได้ เนื่องจากสารสำคัญในเอลเดอร์เบอร์รี่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

5.โพรไบโอติกส์ (Probiotics)
โพรไบโอติกส์เป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ซึ่งเมื่อบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
โพรไบโอติกส์สายพันธุ์ต่างๆที่มีประโยชน์ :
Bacillus coagulans – ช่วยเสริมสุขภาพลำไส้ ลดการอักเสบ และกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
Bifidobacterium infantis – สนับสนุนสุขภาพทางเดินอาหารของทารก ช่วยป้องกันอาการท้องเสียและเสริมภูมิคุ้มกัน
Bifidobacterium lactis – ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกาย และช่วยปรับสมดุลระบบขับถ่าย
Lactobacillus plantarum – มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ เสริมสุขภาพทางเดินอาหาร และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น
Lactobacillus acidophilus – ช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ลดอาการท้องอืด และเสริมสร้างระบบย่อยอาหาร
โพรไบโอติกส์เหล่านี้พบได้ในอาหารหมักดอง เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การบริโภคโพรไบโอติกส์เป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และปรับปรุงสุขภาพลำไส้

6. ธาตุเหล็ก (Iron)
ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุที่สำคัญกับร่างกาย ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะลำเลียงเอาออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากขาดธาตุเหล็กยังทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ธาตุเหล็กยังช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย แต่สำหรับเด็กในช่วงที่กำลังเจริญเติบโต หรือ อยู่ในช่วงวัยเรียนนั้น ธาตุเหล็กยิ่งจำเป็นมาก เพราะหากขาดธาตุเหล็ก จะส่งผลต่อพัฒนาการ และความสามารถของการเรียนรู้
แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ ตับ ถั่ว อาหารทะเล ธัญพืช
ปริมาณธาตุเหล็กที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
เด็กอายุ 1-3 ปี: 5.0 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กอายุ 4-5 ปี: 6.0 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กอายุ 6-8 ปี : 6.6 มิลลิกรัมต่อวัน

นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว สามารถเสริมวิตามินให้แก่ลูกน้อยตามวัย โดยปัจจุบันจะมีวิตามินหลากหลาย อยู่ในรูปแบบยาน้ำ ยาเม็ดเคี้ยว และยาเม็ดอม
อย่างไรก็ตาม หากต้องการซื้อวิตามินเสริมให้แก่เด็ก ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เพื่อคำนวณปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากยาและอาหารเสริมบางชนิดอาจมีผลข้างเคียง หรือมีผลกระทบต่อโรคประจำตัว และยาประจำที่ใช้ ต้องการปรึกษาเภสัชกร แอดไลน์ : @tlepharmacy หรือ คลิ๊ก
อ้างอิง
https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/vitamins-for-kids-immune-systems
https://www.enfababy.com/blogs/baby-development-tips/recurring-illnesses?srsltid=AfmBOop1stS1TiqSVgqh_GOBXBHf98jC17nPx0t1ke7h3sJU0h9JqMKl
https://promom.co.th/immune-support/7-kids-vitamins-immunity/
https://www.gedgoodlife.com/health/11678-7-vitamins-for-kids/