บทความ / สาระน่ารู้

ตาแห้ง…ตาล้า? วิธีดูแลดวงตาในยุคดิจิทัล

   ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคปัจจุบัน เราใช้สายตาจ้องจอกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจอโทรศัพท์ จอคอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ต ซึ่งส่งผลตามมา ทำให้ดวงตาอ่อนล้า ตาแห้ง ระคายเคืองตา ปวดตา นอกจากนั้นแล้ว วิถีชีวิตที่อาศัยอยู่ในห้องแอร์ , การขับรถนานๆ หรือแม้แต่การใช้คอนแทคเลนส์ ก็ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการตาแห้งทั้งสิ้น

อาการของภาวะตาแห้ง และตาล้า ได้แก่

  • แสบตา น้ำตาไหล
  • ระคายเคืองตาเหมือนมีเศษผงอยู่ในดวงตาตลอดเวลา
  • คันตา
  • ตาแดง
  • ตาพร่ามัวมองเห็นไม่ชัด เห็นภาพซ้อน
  • มีอาการปวดเบ้าตา หรือรอบๆดวงตา รู้สึกตาหนัก ดวงตาอ่อนล้า  
  • ในรายที่อาการหนัก อาจจะมีอาการปวดศีรษะ และคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

สาเหตุของอาการตาแห้ง และตาล้า

  1. การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป หรือการเพ่งมองระยะใกล้เกินไป ในที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ก็ทำให้ดวงตาอ่อนล้าได้ 
  2. อยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน เครื่องปรับอากาศจะลดความชุ่มชื้นในดวงตา รวมถึงอยู่ในลมแรง อากาศแห้ง และความชื้นต่ำ ก็เป็นสาเหตุของอาการตาแห้งเช่นกัน
  3. ต้องเผชิญกับมลภาวะ ฝุ่น ควัน เป็นประจำ ทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ เช่น ทำงานในศาลเจ้า ที่ต้องเจอควันธูปตลอดเวลา
  4. โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น ภูมิแพ้, พาร์กินสัน, เบาหวาน หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
  5. การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาแก้แพ้, ยาต้านซึมเศร้า, ยาลดความดันโลหิตบางชนิด
  6. ภาวะต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน (Meibomian Gland Dysfunction: MGD) เกิดจากต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาทำงานผิดปกติ ทำให้ไขมันถูกกักเก็บ ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา เปลือกตาแดง บวม มีตุ่มเล็กๆ หรือขนตาร่วงได้
  7. ความเครียด และเหนื่อยล้า ส่งผลให้เกิดอาการเกร็งบริเวณส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะ รวมถึงคอ บ่า ไหล่
  8. การขับรถทางไกล ทำให้ร่างกายต้องเพ่งสายตา จดจ่อเป็นเวลานาน
  9. ดื่มน้ำน้อย ทำให้ร่างกายขาดสมดุลระหว่างน้ำกับเกลือแร่ ต่อมน้ำตาสร้างน้ำตาได้น้อยลง โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่อากาศร้อน
  10. ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป และความเสื่อมของร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะสร้างน้ำตาได้น้อยลง โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  11. การใส่คอนแทคเลนส์เป็นระยะเวลานาน

วิธีป้องกันและดูแลดวงตา

  1. หมั่นพักสายตาเป็นระยะ โดยใช้กฎ 20-20-20
    โดยมีเทคนิคให้พักสายตาจากหน้าจอทุก 20 นาที ด้วยการมองออกไปที่ระยะ 20 ฟุต (หรือไกลกว่านั้น) เป็นเวลาประมาณ 20 วินาที เพื่อเป็นช่วยให้สายตาได้ผ่อนคลาย
  2. ปรับแสงสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ให้แสงจ้ามากเกินไป
    ซึ่งจะต้องคำนึงถึงความสว่างภายในห้องทำงานเป็นปัจจัยสำคัญ อย่าให้ความสำคัญกับแสงหน้าจอเพียงอย่างเดียว เพราะการปรับแสงหน้าจอให้พอดีกับสายตาต้องใช้อาศัยความสว่างแวดล้อม
  3. ควรนั่งให้มีระยะห่างจากจอคอมพิวเตอร์กับดวงตา
    จัดท่าทางการนั่งทำงานให้มีระยะห่างของจอกับดวงตาประมาณ 40-50 ซม. และควรให้จุดกึ่งกลางของหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ต่ำกว่าระดับสายตา ซึ่งการจัดระยะห่างในการนั่งทำงานจะทำให้ไม่ต้องใช้สายตาเพ่งมากจนเกินไป
  4. พยายามกะพริบตาบ่อย ๆ
    ในขณะที่เราใช้สายตาไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือใช้สมาร์ทโฟน การกะพริบตาบ่อยๆ จะเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ป้องกันตาแห้งและอาการระคายเคือง
  5. ใส่แว่นตากรองแสงคอมพิวเตอร์
    การสวมแว่นตาที่มีเลนส์พิเศษ ซึ่งสามารถช่วยกรองแสงสีฟ้า ช่วยลดแสงเข้าดวงตา ทำให้รู้สึกสบายตายิ่งขึ้น
  6. สวมแว่นกันแดดเพื่อกันแสง UV
    รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มีผลทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการตาแห้ง ตาล้า และจอประสาทตาเสื่อม จึงควรสวมแว่นกันแดดขณะขับรถ หรือเมื่ออยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน
  7. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับดวงตา
    วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน โอเมก้า-3 ธาตุสังกะสี และธาตุทองแดง ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อดวงตา ซึ่งพบมากในอาหารประเภทผักใบเขียวต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า , ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น โกจิเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ไข่ แครอท ฟักทอง อะโวคาโด ถั่วอัลมอนด์ และปลาทะเลน้ำลึก
  8. ดื่มน้ำสะอาดในเพียงพอต่อวัน
    เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ ลดอาการปากแห้ง คอแห้ง และตาแห้ง
  9. หยอดน้ำตาเทียมเพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น
    น้ำตาเทียมนั้นมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาเทียมแบบรายวัน น้ำตาเทียมแบบรายเดือน หรือน้ำตาเทียมแบบเจล ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เพื่อเลือกน้ำตาเทียมที่เหมาะสมกับตัวเอง
  10. ประคบอุ่นบริเวณรอบดวงตา
    หากมีภาวะต่อมไขมันอุดตันที่เปลือกตา สามารถประคบอุ่นวันละ 10-15 นาที เพื่อละลายไขมันที่อุดตันบริเวณเปลือกตาได้

หากมีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม สามารถแอดไลน์ @tlepharmacy หรือ คลิ๊ก